ในปัจจุบันก็ต้องยอมรับว่าการถ่ายวิดิโอนั้นเป็นที่แพร่หลายมาก เพราะ มีอินเตอร์เน็ตที่เร็วขึ้น ทำให้คนอยากดูวิดิโอมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันนั้นการถ่ายทำวิดิโอก็มี 3 ประเภทหลัก ๆ นั้นก็คือ การถ่ายวิดิโอทั่วไป, การถ่ายวิดิโอแบบ Live และ การถ่ายวิดิโอแบบ 360 องศา ซึ่งการทำวิดิโอให้ดีๆนั้นก็ต้องมีส่วนประกอบมากมากมาย จะมีอะไรบ้างมาดูกันครับ โดยวันนี้เราจะมาดูในส่วนของอุปกรณ์เสริมในการถ่ายวิดิโอของกล้องดิจิตอล หรือพวก DSLR, Mirrorless และ Compact
ไมค์
ส่วนประกอบของวิดิโอหลัก ๆ คือภาพต่อเนื่อง และ เสียง กล้องในปัจจุบันค่อนข้างไว้ใจได้ในเรื่องภาพต่อเนื่อง แต่ก็มักมีปัญหาเรื่องเสียง เพราะ ตัวไมค์ของตัวกล้องนั้น เน้นรับเสียงรอบทิศทาง ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้งานในหลากหลายสถานการณ์ ซึ่งวิธีการแก้ก็คือ การชื้อไมค์แยกมาเสียบครับ โดยไมค์หลัก ๆ แล้วจะมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ ไมค์บูม และ ไมค์ติดเสื้อ
ไมค์บูม หรือบางคนก็จะใช้เป็นไมค์ที่ติดกับตัวกล้อง แล้ว มียาว ๆ ยื่นออกไปด้านหน้า ข้อดีหรือ สามารถรับเสียงด้านโดยรวมได้ดี มีความสะดวกในงานใช้งาน แต่อาจจะมีปัญหา เวลาต้องการคุณภาพเสียงสูง เมื่อ สัมภาษณ์ เป็นบุคคลเจาะจงครับ แต่บางครั้งก็ใช้ไมค์บูมเวลาสัมภาษณ์คนเยอะ ๆ เพราะไม่ต้องถอดเข้าถอดออก ซึ่งยี่ห้อที่นิยมใช้ก็จะเป็น Asden และ Rode ราคาก็มีตั้งแต่ 2000 บาท ยันหลักหมื่น
ไมค์ติดเสื้อ เป็นไมค์ที่จะมีลักษณะติดที่เสื้อ ข้อดีของไมค์ติดเสื้อคือ สามารถรับเสียงบุคคล มีเสียงรบกวนต่ำกว่าแบบไมค์บูม และ คุณภาพดีกว่า ข้อเสียคือ ระยะในการรับเสียงไม่ไกล ราว 10-20 ชม. เท่านั้น โดยไมค์คิดเสื้อจะแยกออกเป็น 2 ประเภทก็คือ ไมค์มีสาย และ ไร้สาย สำหรับไมค์มีสายส่วยใหญ่จะมีสายที่ค่อนข้างยาว ราคาไม่แพงมากนัก ส่วนมากไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ถ้ารุ่นไหนใช้ ก็จะมีกำลังขับเสียงสูง คุณภาพดี ราคาก็อยู่ตั้งแต่ ตั้งแต่ของจีนไม่กี่ร้อย จนถึงระดับหลายพันบาท ในส่วนของไมค์ไร้สาย ข้อดีคือ เราสามารถ เราสามารถห่างจากกล้องด้วยระยะประมาณนึง ข้อเสียคือทุกรุ่นต้องใช้แบตครับ นอกจากนั้นก็ต้องมีตัวรับ อยู่บนหัวกล้อง และ ตัวรับอยู่กับตัวเราด้วย ส่วนราคาก็มีตั้งแต่ราว 5,000 บาท สำหรับแบบเดี่ยว (1 ตัวรับ + 1 ตัวส่ง) จนไปถึงหลายหมื่นบาท ตามสเปค
ขาตั้งกล้อง
อีกหนึ่งอุปกรณ์เสริมที่ช่วยทำให้การถ่ายวิดิโอ ที่อยู่กับที่ง่ายขึ้นมาก เพราะเราไม่ต้องถือตัวกล้องตลอดเวลา สำหรับขาตั้งกล้องมีให้เลือกราคาตั้งแต่ หลักร้อยแบบเล็กถึงหลักหมื่นรองรับน้ำหนักได้เยอะ/แข็งแรง และ ฟังก์ชั่นมากขึ้น ยี่ห้อดังๆก็มีอย่างเช่น Manfrotto, Benro หรือยี่ห้อราคาไม่แพงอย่าง Potopro การเลือกชื้อขาตั้งกล้องนั้นก็ควรดูที่เป็นหันแพนชึ่งจะเหมาะกับงานวิดิโอมากกว่าหัวบอลครับ ส่วนน้ำหนัก ก็ควรชื้อเผื่อไว้ระดับนึงสำหรับอนาคตครับ โดยกล้อง Mirrorless หรือ กล้อง DSLR เลนส์ทั่วไป ก็ชื้อขาตั้งกล้องที่รองรับน้ำหนักประมาณ 5 K.G ก็เพียงพอแล้วครับ
Gimbal
ในขณะที่วิดิโอหลาย ๆ คน เป็นการพาเดินถ่ายไป ซึ่งอาจจะไม่ถนัดที่จะใช้ขาตั้งกล้องมากนัก ชึ่งเราก็จำเป็นที่จะต้องใช้งานกันสั่นครับ ซึ่งเลนส์บางตัว ก็จะไม่มีกันสั่น หรือ ประสิทธิภาพไม่ดีพอเหมือนที่เราต้องการ ก็ต้องมาพึ่ง Gimbal ซึ่ง Gimbal ก็คืออุปกรณ์ที่มีมอเตอร์ ซึ่งมอเตอร์ช่วยทำให้กันน้อยลงครับ โดย Gimbal รุ่นที่รองรับกล้องที่รับน้ำหนักไม่ได้มาก ก็มีราคาเริ่มต้นอยู่ราว 15,000 บาท จนถึง ระดับแสนก็มีให้เลือกชื้อครับ
จอภาพ
จอภาพเป็นอีก 1 สิ่งที่หลายคนเลือกมาใช้สำหรับงานวิดิโอมืออาชีพ ทำให้การใช้งาน การจัดวางองค์ประกอบง่ายขึ้น ซึ่ง บางจอก็จะมีฟังก์ชันสั่งงานอีกด้วย โดยเราสามารถเสียบผ่านช่อง HDMI ออกมาครับ สำหรับราคาจอก็มีตั้ง 5,000 บาท สำหรับของจีน จนไปถึง หลายหมื่นบาท ตามฟังก์ชั่น ความละเอียด และ ขนาดจอนั้น
โปรแกรมตัดต่อ
โปรแกรมตัดต่อถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญในงาน Post Production ซึ่ง ทั้งในฝั่งของ Windows และ Mac ก็มีโปรแกรมฟรีมาให้ใช้งานครับ โดย Windows ก็จะเป็น Movie Maker ส่วนของ Mac ก็จะเป็น iMovie แต่ของฟรีนั้นก็มีการจำกัดการใช้งานพอสมควรครับ หากใครต้องการฟังก์ชั่นที่ Advances ขึ้นไปอีก ก็ต้องเสียเงินเพิ่มครับ โดยทีมงานมีโปรแกรมแนะนำดังนี้ Sony Vages (Windows ราคา $599.95) Final Cut Pro X (Mac ราคา 10,500 บาท) และ Adobe Premiere (Windows และ Mac ราคาเดือนละ 600 บาท หรือครบทั้งชุดราคา 1,500 บาท)
ทั้งหมดนี้เป็นอุปกรณ์ที่ทีมงานแนะนำครับ ลองเอาไปปรับใช้งานให้เข้ากับวิดิโอที่ตัวเองทำดู ว่าของเรานั้นเหมาะสมกับแบบไหน มีงบประมาณเท่าไหร่ และ การเลือกซื้อควรอยู่ในงบของเราซื้อเท่าที่จำเป็นกันนะครับ