ล่าสุดทาง Panasonic ได้เปิดตัวกล้องฟลูเฟรมมิลเลอร์เลสรุ่นแรกของค่าย นั้นก็คือ Panasonic Lumix S1 และ Panasonic Lumix S1R ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมีประสิทธิภาพสูงมากๆ ในด้านประสิทธิภาพ เพราะได้นำฟีเจอร์จากกล้อง Micro Four Thirds แทบทั้งหมดมาใส่ใน 2 รุ่นนี้ด้วย ก่อนอื่นมาเริ่มด้วยสเปกของ 2 รุ่นนี้ก่อนครับ
สเปก Panasonic Lumix S1R
- เซ็นเซอร์ฟลูเฟรม ความละเอียด 47.3 ล้านพิกเซล
- ไม่มี Low Pass-Filter
- กันสั่นภายในตัวบอดี้ ช่วยลดสปีดชัดเตอร์ได้ 5.5 Stops
- 6 Stops เมื่อใช้กับเลนส์ที่มีกันสั่น และรองรับระบบ Dual I.S. 2
- ถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 9 ภาพต่อวินาที ในโหมด AF-S และ 6 ภาพต่อวินาที ในโหมด AF-C
- ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K ได้ 60p
- รองรับ 6K Photo ที่ 30p และ 4K Photo ที่ 60p
- EVF ความละเอียดสูงถึง 5.76 ล้านพิกเซล
- หน้าจอด้านหนังแบบ Liquid Crytal ความละเอียด 2.1 ล้านพิกเซล
- สามารถกันละอองน้ำ ละอองฝุ่น พร้อมใช้งานได้ในสถานที่ -10 องศา
- ฟังก์ชั่นพิเศษ High Res Shot สามารถบันทึกได้ที่ความละเอียด 187 ล้านพิกเซล
- ตัวกล้องทำงานด้วยระบบ Ai สามารถโฟกัสดวงตาคน รวมไปถึงสัตว์อย่าง แมว, หมา และ นกได้
- น้ำหนัก 898 g
สเปก Panasonic Lumix S1
- เซ็นเซอร์ฟลูเฟรม ความละเอียด 24.2 ล้านพิกเซล
- ISO ดันได้สูงสุด 51,200
- กันสั่นภายในตัวบอดี้ ช่วยลดสปีดชัดเตอร์ได้ 5.5 Stops
- 6 Stops เมื่อใช้กับเลนส์ที่มีกันสั่น และรองรับระบบ Dual I.S. 2
- ถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 9 ภาพต่อวินาที ในโหมด AF-S และ 6 ภาพต่อวินาที ในโหมด AF-C
- ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K ได้ 60p
- รองรับ 6K Photo ที่ 30p และ 4K Photo ที่ 60p
- EVF ความละเอียดสูงถึง 5.76 ล้านพิกเซล
- หน้าจอด้านหนังแบบ Liquid Crytal ความละเอียด 2.1 ล้านพิกเซล
- สามารถกันละอองน้ำ ละอองฝุ่น พร้อมใช้งานได้ในสถานที่ -10 องศา
- ฟังก์ชั่นพิเศษ High Res Shot สามารถบันทึกได้ที่ความละเอียด 96 ล้านพิกเซล
- ตัวกล้องทำงานด้วยระบบ Ai สามารถโฟกัสดวงตาคน รวมไปถึงสัตว์อย่าง แมว, หมา และ นกได้
- น้ำหนัก 899 g
1. กล้องคุณภาพไฟล์สูงพร้อมระบบกันสั่น 5 แกน
กล้อง LUMIX S1R นั้นมาพร้อมเซ็นเซอร์ CMOS ความละเอียด 47.3 ล้านพิกเซล ไม่มี Low Pass filter ซึ่งทำให้สามารถเก็บความละเอียดได้อย่างมาก ทั้งในงาน Landscape, Macro หรือจะถ่ายใน Studio ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ทั้งหมด ISO สามารถดันได้ถึง 25,600 ในส่วนของ LUMIX S1 ก็ไม่ได้น้อยหน้า เพราะมาพร้อมความละเอียด 24.2 ล้านพิกเซล ถือว่าตอบโจทย์งานทั่วๆไป อย่างการท่องเที่ยวแล้ว สิ่งที่ดีกว่ารุ่นพี่นั้นก็คือ ISO ที่ดันได้ถึง 51,200 พิเศษทั้งคู่มาพร้อมกับ AR Coating บนเซ็นเซอร์ ช่วยลด ghost และ แฟร์ อีกด้วย
ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับระบบกันสั่น 5 แกน ภายในตัวกล้อง ซึ่ง Panasonic เครมว่าสามารถลดสปีดชัตเตอร์ได้ถึง 5.5 Stops พร้อมรองรับระบบกันสั่น Dual I.S.2 ที่ช่วยทำงานให้ตัวกันสั่นมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ช่วยลดเพิ่มได้ถึง 6 Stops
นอกจากนี้ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับ High Resolution Shot ที่นำระบบกันสั่นมาเขย่าเพิ่มพิเซลโดยตัว LUMIX S1R สามารถเพิ่มพิเศลได้เป็น 187 ล้านพิกเซล (16,736×11,168) ส่วน LUMIX S1 นั้นจะเพิ่มเป็น 96 ล้านพิกเซล (12,000×8,000) สำหรับระบบประมวลผลทั้ง 2 รุ่นนั้นเป็น Venus Engine รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม
2. โฟกัสรวดเร็วเพียง 0.08 วินาที พร้อมถ่ายภาพต่อเนื่องได้ถึง 9 ภาพต่อวินาที
LUMIX S1R และ LUMIX S1 มาพร้อมกับระบบโฟกัสแบบ DFD ที่มีความเร็วโฟกัสที่สูง เพียง 0.08 วินาที แล้วยังสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 9 ภาพต่อวินาที ในโหมด AF-S และ 6 ภาพต่อวินาที ในโหมด AF-C ที่สำคัญสามารถโฟกัสได้ถึง -6EV (เมื่อใช้เลนส์ f/1.4) ที่สำคัญไปกว่านั้น ตัวกล้องทำงานด้วยระบบ Ai สามารถโฟกัสดวงตาคน (Eye-AF) รวมไปถึงสัตว์อย่าง แมว, หมา และ นกได้
ฟีเจอร์ที่มีมาตั้งแต่รุ่นเก่าๆ อย่าง 6K Photo และ 4K Photo ก็ใส่มาให้ใช้งานเหมือนกัน
3. การใช้งานที่ง่ายอย่างเหลือเชื่อพร้อมหน้าจอคมชัดที่สุดในกล้อง Full Frame
LVF (Live View Finder) มาพร้อมกับการตอบสนองแบบความเร็วสูง แถมยังมีหน้าจอ EVF แบบ OLED ความละเอียดถึง 5.76 ล้านพิกเซล อัตราขยายเลือกได้ระหว่าง 0.78x,0.74x และ 0.7x ที่เฟรมเรตสูงสุด 120 FPS
ในส่วนของหน้าจอปกติ เป็นหน้าจอสัมผัสขนาด 3.2 นิ้ว มีความละเอียด 2.1 ล้านพิกเซล ที่ตอบสนองได้ดีมากๆ การจับถือและปุ่มต่างๆ พร้อม Joystick ได้ออกแบบมาอย่างดี ช่องเชื่อมต่อที่ครบครัน EVF ขนาดใหญ่
4. ความทนทานพร้อมความมั่นใจที่จะออกไปลุย
ตัวกล้องนั้นมาพร้อมกับฟีเจอร์กันละอองน้ำ ละอองฝุ่น สามารถใช้ได้ในที่อุณหภูมิ -10 องศา และม่านชัตเตอร์สามารถใช้งานได้กว่า 400,000 ครั้ง
ในด้านเมมโมรี่สามารถใช้ SD Card (UHS-II) ได้ 1 ช่อง และ XQD (และ CF Express) ได้ 1 ช่อง เพราะ 2 ชนิดรองรับความเร็วสูงแบบไร้กังวล แบตเตอรี่ความจุถึง 3,050 mAh สามารถชาร์จผ่านช่องเสียบ USB ในตัวกล้องได้
5. ประสิทธิภาพสุดโหดในงานวิดีโอ สามารถบันทึกได้ถึง 4K 60p!
ในฟีเจอร์พื้นฐานของตัวกล้องนั้นสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K ที่ 30p และ Full HD ได้ที่ 180p แต่ในอนาคตทาง Panasonic เตรียมออกเฟิร์มแวร์มาให้ได้ชื้อ ซึ่งสามารถถ่ายวิดีโอ 4K 60p, วิดีโอ 4K 30p แบบ 4:2:2 รวมไปถึงการใช้งาน V-Log
การเชื่อต่องานวิดีโอก็รองรับอย่างครบครันทั้ง HDMI Type A, ช่องเสียบไมค์โครโฟน และ หูฟัง รวมไปถึงรองรับไมค์โครโฟนในรูปแบบ XLR อีกด้วย
6. ฟีเจอร์อื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน LUMIX S1 และ LUMIX S1R
- Photo Style แบบ Flat – สีจะเป็นแบบจึดๆ ลด Contrast และ Saturation ลง
- อัตราส่วนรูปภาพแบบใหม่ – รองรับ 65:24 (Film Panarama) และ 2:1 (สำหรับการอัดภาพ)
- I.S. Status Scope – จะมีจุดตรงกลางหน้าจอ แสดงให้เห็นถึงความสั่นเมื่อใช้มือถือกล้องอยู่
- ลด Flicker – ช่วยลดแสงกระพริบเมื่อใช้งานในสภาพแสง Fluorecent
- การวัดแสงในส่วนของ Highlight
- Lumix Tether – เมื่อเชื่อมต่อ USB กับคอมพิวเตอร์ ก็สามารถดูภาพถ่ายผ่านโปรแกม รวมถึงควบคุมกล้องได้ทั้งหมด
- Lumix Sync – เป็นแอพพิเคชั่นตัวใหม่บนสมาร์ทโฟน ช่วยให้ควบคุมกล้องได้สะดวกขึ้น
สำหรับราคาตัวบอดี้ LUMIX S1 อยู่ที่ $2,499 หรือประมาณ 78,000 บาท ($3,399 หรือประมาณ 106,000 บาท เมื่อชื้อพร้อมเลนส์ 24-105 mm f/4) และ LUMIX S1R ราคาบอดี้อยู่ที่ $3,699 หรือประมาณ 115,000 บาท ($4,599 หรือประมาณ 144,000 บาท เมื่อชื้อพร้อมเลนส์ 24-105 mm f/4) เริ่มวางจำหน่ายช่วงเดือนเมษายน
นอกจากตัวบอดี้ Panasonic ยังได้เปิดตัวเลนส์มาอีก 3 รุ่นนั้นก็คือ
Lumix S Pro 50 mm f/1.4 มาพร้อมกับชิ้นเลนส์ 13 ชิ้น ชิ้นเลนส์พิเศษ Aspherical 2 ชิ้น, ED 3 ชิ้น เบลดรูรับแสง 11 ใบ โฟกัสด้วยมอเตอร์ 2 ตัวแบบ Linear และ Steppping Motor ราคาอยู่ที่ $2,299 หรือประมาณ 77,700 บาท
Lumix S Pro 70-200 mm f/4 OIS มาพร้อมกับกันสั่นภายในตัวและชิ้นเลนส์รวมกว่า 23 ชิ้น พร้อมชิ้นเลนส์พิเศษ aspherical, UHR, UED และ ED ราคาอยู่ที่ $1,699 หรือประมาณ 53,000 บาท
และ ตัวสุดท้าย Lumix S 24-105 mm f/4 Macro OIS มาพร้อมกับชิ้นเลนส์พิเศษ ED 1 ชิ้น, aspherical ED 2 ชิ้น และ ED elements 3 ชิ้น โฟกัสใกล้สุด 30 เซ็นติเมตร เมื่อซูมที่ 105 mm จะเป็นอัตราขยาย 0.5x
สำหรับเลนส์ทั้ง 3 ตัวนั้นเป็นเลนส์ L-Mount (จาก Leica)และได้ร่วมมือกับ SIGMA ผลิตเลนส์ เม้าส์นี้ขึ้นมา ซึ่งในอนาคตจะมีเลนส์ถึง 42 ตัวภายในปี 2020 ซึ่งต้องบอกเลยว่าเยอะมากๆครับ